ประเทศอิตาลี
โคลอสเซียมสิ่งก่อสร้างรูปทรงโค้งเป็นวงกลมซึ่งตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางของกรุงโรมแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเชิดชูเหล่านักรบโรมันและเป็นอนุสรณ์ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรมัน
สนามกีฬาแห่งนี้สูง 48 เมตร ยาว 188 เมตร และกว้าง 156 เมตร
แนวคิดในการออกแบบโคลอสเซียมนี้ยังคงมีความสำคัญมาจนถึงทุกวันนี้
ดังจะเห็นได้จากการออกแบบสนามกีฬาแทบทุกแห่งในโลกนับตั้งแต่นั้นมาต้องปฏิบัติตามแม่แบบดั้งเดิมของโคลอสเซียมอย่างปฏิเสธไม่ได้
ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้สิ่งที่ได้รับรู้จากภาพยนตร์และหนังสือบันทึกทางประวัติศาสตร์จะแสดงให้เห็นว่าสนามกีฬาแห่งนี้มีแต่การต่อสู้และการแข่งขันที่โหดร้ายต่างๆ
นานา เพื่อความสุขของผู้ชมเท่านั้นก็ตาม ใต้อัฒจรรย์โคลอสเซียม
(Colosseum) และใต้ดินโคลอสเซียม
(Colosseum) มีห้องสำหรับขังนักโทษที่รอการประหารชีวิต
และสิงโต หลายร้อยห้อง ใช้เป็นสถานที่ให้นักโทษ ต่อสู้กับสิงโตที่อดอาหาร
หากนักโทษผู้ใดเอาชนะ ฆ่าสิงโตได้ด้วยมือเปล่าได้ก็รอดชีวิตไป หรือ
ไว้ใช้เป็นที่ประลองฝีมือในเชิงฟันดาบของบรรดาเหล่าทาสให้ต่อสู้กันเอง
ยิ่งถ้าต่อสู้กัน จนถึงสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ตาย
ก็จะได้รับเกียรติอย่างสูงเพราะเป็นการต่อสู้ที่ชาวโรมันนิยมและยกย่องกัน หนึ่งต้องสูญเสียชีวิตนักโทษและทาสไม่ต่ำกว่าร้อยคน
ประเทศสเปน
มหาวิหารซากราดา ฟามิเลียร์ งานชิ้นนี้เริ่มสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2425 มีกำหนดก่อสร้างหอคอยทั้งหมด 18 หอคอย นับตั้งแต่ปีเริ่มสร้างจนถึงปัจจุบันสร้างเสร็จไปแล้วแค่ 8 หอคอย งานคืบหน้าไปประมาณร้อยละ 50 สถาปนิกผู้ออกแบบถูกรถรางทับเสียชีวิตไปเมื่อ
พ.ศ. 2469 โดยศพของเขาได้ถูกฝังไว้ในซากราดาฟามีเลียด้วย
แม้เกาดีจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ผู้ร่วมงานของเขายังคงสานต่อโครงการโดยอาศัยรูปถ่าย
ภาพร่าง และแบบจำลองที่เกาดีทำไว้แต่แล้วในปี พ.ศ. 2479 โครงการก็ต้องหยุดชะงักเพราะสงครามกลางเมืองในสเปนห้องใต้ดินและแบบจำลองอย่างละเอียดก็ถูกเผาทำลาย
แต่เมื่อสิ้นสุดสงครามทีมงานก็กลับมาทำงานกันต่อ โดยอาศัยภาพร่าง
ภาพถ่ายและแบบจำลองอื่น ๆ ที่รอดพ้นจากการถูกทำลาย
ภายหลังได้นำคอมพิวเตอร์มาใช้ออกแบบ แต่ถึงจะใช้เทคโนโลยีมากมายมาช่วย
กว่าโครงการนี้จะเสร็จก็อีกยาวไกลถึงปี พ.ศ. 2569 ลักษณะเด่นของอาคารแห่งนี้จะสังเกตได้ถึงสีที่ตัดกันของหินด้านหน้าและด้านหลังอย่างชัดเจน
และพบรูปแบบการก่อสร้างที่แตกต่างกันระหว่างแบบเก่าและแบบที่สร้างต่อขึ้นใหม่ใน
ปัจจุบัน
ถ้ำเมลิสซานี ผืนทะเลสาบแสนสวยในถ้ำแห่งนี้ถูกค้นพบโดยนักบรรพชีวินวิทยา จีอานิส
พีโตรคีลอส ในปี พ.ศ. 2494 แทบจะจินตนาการไม่ออกเลยว่าเมื่อตอนที่จีอานิสได้เห็นทิวทัศน์ที่สุดแสนวิเศษเบื้องหน้าแล้วจะทำหน้าตาอย่างไร
โดยถ้ำแห่งนี้ได้เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้คนทั่วไปได้สัมผัสความงดงามดุจสวรรค์ด้วยสายตาตนเองในปี
พ.ศ. 2506 ชาวกรีซยังเชื่อว่าถ้ำแห่งนี้เป็นสถานที่ตามที่ปรากฏปกรณัมของกรีก
อันเรียกว่า "ถ้ำแห่งนิมฟ์" (Cave of Nymphs) ที่ซึ่งนางเมลิสซานี
นิมฟ์สาวผู้หลงรักแพน (Pan) เทพแห่งคนเลี้ยงแกะและดนตรีพื้นเมือง ได้ฆ่าตัวตายเพราะแพนไม่รับรักของนาง
และร่างได้ร่วงหล่นลงยังทะเลสาปแห่งนี้
ความรักและความงามของนิมฟ์สาวตนนี้จึงก่อเกิดเป็นความงดงามของถ้ำเมลิสซานีดังที่เราเห็นในปัจจุบัน
ประเทศโปรตุเกส
ชายหาดมารินยา เป็นชายหาดที่ตั้งอยู่บนมหาสมุทรแอตแลนติกในเขตเทศบาลเมืองลากอส
นอกจากนี้ยังเป็นหาดที่มิชลิน ไกด์ (Michelin Guide) หนังสือไกด์บุ๊คที่ออกโดยบริษัทผู้ผลิตยางรถยนต์มิชลิน
เป็นไกด์บุ๊คที่แนะนำร้านอาหารและที่พักที่ดีที่สุดให้กับผู้ที่ขับรถท่อง เที่ยว
ที่ได้จัดอันดับให้หาดแห่งนี้เป็นหนึ่งใน 10 ชายหาดที่สวยที่สุดในยุโรป และเป็นหนึ่งใน 100 ชายหาดที่สวยงามที่สุดในโลกอีกด้วย
หาดมารินยา เป็นชายหาดที่มีความโดดเด่นในเรื่องของทัศนียภาพที่สวยงาม
ไม่ว่าจะเป็นโขดหินรูปร่างแปลกตารวมไปถึงหน้าผาที่สูงชัน
นั่นจึงทำให้ชายหาดมารินฮาได้รับความนิยมในการถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำแคม
เปญโฆษณาต่างๆมากมาย